top of page

คำถามที่พบบ่อย

การใช้ยาอื่นๆร่วม ในระหว่างการรักษา

เราสามารถใช้ Prednisolone หรือ Steriod ได้หรือไม่


ให้ดูตามอาการ หากแมวอาการทรุดมากๆ และจำเป็นต้องใช้เวลาในการรอผลวินิจฉัย สามารถให้ Prednisolone หรือ Steriod ได้ แต่ต้องวางแผนการใช้ให้จบภายใน 14 วันแรกของการฉีด GS-441524

ทำไมถึงห้ามใช้ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Fluoroquinolone


เนื่องจากยากลุ่ม Fluoroquinolone เช่น Baytrill, Zeniquin, Veraflox/ Pradofloxacin และ Orbax เป็นยาที่มีส่วนผสมของฟูออรีน ซึ่งฟูออรีนสามารถแทรกซึมเข้าระบบประสาท และทำให้ FIP ยกระดับเป็น Neurological ได้

ทำไมถึงห้ามทานยาและอาหารเสริมภูมิคุ้มกันเช่น L-Lysine, Beta Glucan, Interferon


โรค FIP แตกต่างจากโรค FeLV, FIV, FPV เนื่องจากโรคอื่นๆนั้นจะทำให้ CMI และ HMI ต่ำจึงจำเป็นต้องให้ยาและอาหารเสริมกระตุ้นภูมิ แต่ในทางกลับกัน FIP นั้นจะทำให้ CMI และ HMI สูงและทำให้ภูมิคุ้มกันนั้นอ่อนไหวง่าย ซึ่งการที่เรากระตุ้มภูมิคุ้มกันเพิ่มเข้าไปจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
อีกสาเหตุหนึ่งคือการทำงานของ L-Lysine และ Beta Glucan นั้นคือการกระตุ้นให้ร่างกายแมวสร้างเซลล์ขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นการเพิ่มจำนวนของไวรัส เนื่องจาก FIPV แบ่งตัวผ่านเซลล์นั่นเอง

หากพบว่าแมวมีโรคประจำตัวเช่น FeLV, FIV, FVP ร่วมกับ FIP สามารถใช้ GS-441524 ร่วมได้หรือไม่


สามารถรักษาได้ร่วมระหว่างการใช้ GS-441524 ได้แต่ความสำเร็จในการรักษา FIP จะลดลงตามตารางนี้

สามารถใช้ยาถ่ายพยาธิ, ยาลดไข้, ยาแก้หวัด ฯลฯ ได้หรือไม่


สามารถใช้ได้ไม่มีปัญหา ยาที่ห้ามจะมีแค่ยากลุ่ม Fluoroquinolone เท่านั้น

สามารถทำเคมีบำบัดกับแมวระหว่างใช้ GS-441524 ได้หรือไม่


สามารถทำได้ โดยให้พักการฉีด GS เป็น 36-48 ชม. หลังเสร็จจากการทำเคมีบำบัดเพื่อดูว่ามีอาการกำเริบหรือไม่

ทำไมถึงห้ามใช้ยาหยดเห็บหมัด


ไม่มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ว่ายาหยดเห็บหมัดมีผลขัดกันกับการทำงานของ GS-441524 แต่เนื่องจากยาหยดเห็บหมัดมีการดูดซึมผ่านไขมันและเข้าสู่ระบบประสาท ซึ่งอาจเป็นการเปิดช่องให้กับ FIPV ในการเข้าสู่ระบบประสาทได้เช่นกัน ดังนั้นหากต้องการใช้ แนะนำให้สังเกตว่ามีอาการทรุดลงและพัฒนาขึ้นเป็น FIP Neurological หรือไม่หลังจากหยดยา ถ้ามีต้องทำการปรับ Dose ยาขึ้นเป็น 10mg/kg

หากแมวเป็นเชื้อราที่ผิวหนังสามารถใช้ Spray Nano ได้หรือไม่


สามารถใช้รักษาได้ แต่ควรระวังอาการแพ้

การรักษาแม่แมวที่ตั้งครรภ์

แมวที่ตั้งท้องระหว่างเป็น FIP จำเป็นต้องหยุดยา GS-441524 หรือไม่


ไม่จำเป็น สามารถดำเนินการฉีดจนจบ 84 วัน แต่จำเป็นต้องดูแลและบำรุงแม่แมวอย่างใกล้ชิดหลัง คลอด โดยเฉพาะแม่แมวที่ออกลูกดก(มากกว่า 4 ตัว) เพราะแม่แมวจะเหนื่อยและเครียดซึ่งอาจทำให้ FIP กำเริบได้
 

แม่แมวที่อยู่ระหว่างการรักษาโดยให้ GS-441524 แล้วให้นมลูก ลูกจะมีผลกระทบหรือได้ภูมิคุ้มกันโรค FIP หรือไม่


ลูกแมวจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากนมน้ำเหลือของแม่แมว สำหรับภูมิคุ้มกัน FIP ที่ลูกจะได้จากแม่ในส่วนนี้เรายังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันเนื่องจากเป็นเคสที่พบได้ยากมากๆ ทำให้มีตัวอย่างในการศึกษาน้อย ซึ่งลูกแมวอาจจะได้รับหรือไม่ได้ภูมิคุ้มกันโรค FIP ขึ้นอยู่กับว่าแม่แมวจะส่งต่อภูมิคุ้มกันอะไรผ่านนมน้ำเหลืองให้กับลูก
 

หากแม่แมวที่เป็น FIP คลอดลูกออกมาแล้วลูกเป็น FIP สามารถรักษาลูกด้วย GS-441524 ได้หรือไม่


สามารถรักษาได้โดยการคำนวณปริมาณยาตามน้ำหนักของลูกแมว แต่ต้องเข้าใจว่าโอกาสที่ลูกแมวจะรอดนั้นต่ำมากๆ โดยเฉพาะลูกแมวที่เป็น FIP ภายใน 1-4 สัปดาห์หลังคลอด

การกำเริบและกลับมาเป็นซ้ำ

หากแมวมีอาการกำเริบควรทำอย่างไร


ซักประวัติว่าก่อนหน้านี้เป็น FIP แบบใดหยุดฉีดยา A/G Ratio ได้เท่าไหร่ จบการฉีดยาเมื่อไหร่ ซึ่งจะแบ่งตามสถานการณ์ดังนี้

  1. อาการกำเริบหลังจากหยุดฉีดยาโดยไม่ได้รับการตรวจร่างกายเพื่อจบการฉีดยา
    ให้ตรวจสอบว่าเป็น FIP แบบใดและ Dose ตามอาการเดิมโดยเริ่มการรักษาใหม่อีก 84 วัน

  2. อาการกำเริบเกิดขึ้นระหว่างระยะสังเกตอาการ
    ให้ตรวจสอบกว่าก่อนหน้านี้เป็น FIP แบบใดและทำการ +2mg/kg จากโดสเดิมที่เคยใช้รักษา โดยทำการตรวจเลือดทุก 14 วันจนกว่า A/G จะถึง 0.7 และทำการตรวจร่างกายเพื่อจบการฉีดยา

  3. อาการกำเริบเกิดขึ้นหลังจากจบระยะสังเกตอาการ 1-3 เดือน
    ให้ตรวจสอบกว่าก่อนหน้านี้เป็น FIP แบบใดและทำการ +2mg/kg จากโดสเดิมที่เคยใช้รักษา โดยทำการตรวจเลือดทุก 14 วันจนกว่า A/G จะถึง 0.7 และทำการตรวจร่างกายเพื่อจบการฉีดยา

  4. อาการกำเริบเกิดขึ้นหลังจากจบระยะสังเกตอาการไม่น้อยกว่า 4 เดือน
    ทำการรักษาใหม่ตามอาการตั้งแต่ต้น และตรวจสอบหาสาเหตุเพื่อป้องกันไม่ให้แมวเป็นโรค FIP อีก
     

สำหรับเคสที่กลับมาเป็นซ้ำ คุณควรตรวจสอบปัจจัยภายนอกที่เป็นสาเหตุทำให้แมวกลับมาเป็น FIP อีกครั้งเช่น สภาพแวดล้อมในการเลี้ยงดู, กิจกรรมที่ทำร่วมกันบ่อยครั้ง เพื่อป้องกันกิจกรรมที่อาจจะเป็นเหตุให้แมวภูมิคุ้มกันตกจนเกิดอาการกำเริบหรือเป็นซ้ำได้อีกครับ

FIP รูปแบบผสม (Unclassical FIP)

หากแมวมีอาการ FIP แบบผสมควรรักษาอย่างไร


ในการรับมือกับแมวที่เป็นโรค FIP แบบ Unclassical เราจะมุ่งเน้นไปที่การปรับโดสยาตามอาการซึ่งสามารถทำได้ดังนี้

  1. เริ่มเป็น Wet FIP แล้วพัฒนาเป็น Dry FIP
    ให้ใช้โดส 8mg/kg ตามอาการของ Dry FIP

  2. เริ่มเป็น Wet FIP หรือ Dry FIP  แล้วพัฒนาเป็น Ocular/Neurological
    ให้ใช้โดส 10mg/kg ตามอาการของ Ocular/Neurological

  3. เริ่มเป็น Dry FIP แล้วพัฒนาเป็น Wet FIP (ไม่ค่อยพบระหว่างการรักษา จะพบได้ว่าเป็นอาการกำเริบ)
    ให้ใช้โดสเดิมคือ 8mg/kg ไม่มีการลดโดสลง
     

หากแมวมี WBC ต่ำและลดลงเรื่อยๆ ตรวจพบ FIP อย่างเดียวไม่พบ FeLV ควรรักษาอย่างไร


ในกรณีนี้แสดงว่า FIPV ได้เริ่มทำลายถึงระดับเม็ดเลือดขาว ทำให้แมวไม่สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวขึ้นมาเองได้ เราจำเป็นจะต้องทำการรักษาโดยใช้ยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวควบคู่ไปกับการใช้ GS โดยอาจจะปรับลดปริมาณของ GS ที่จะต้องฉีดลงครึ่งหนึ่งเพื่อไม่ให้มันไปหยุดการสร้างใหม่ของเซลล์เม็ดเลือดขาว และทำการตรวจเลือดทุกๆ 3 วันเพื่อเช็คว่าได้ผลหรือไม่ แต่โอกาสรอดจากเคสแบบนี้มีน้อยมากๆ

คำถามทั่วไป

วิธีการเก็บยาจำเป็นต้องอยู่ในอุณหภูมิต่ำกว่า 3-8℃ ตลอดเวลาหรือไม่


ไม่จำเป็น ตัวยาสามารถอยู่ได้ในอุณหภูมิต่ำกว่า 45℃ ได้โดยหลีกเลี่ยงแสงแดด หากยังไม่เปิดใช้วันหมดอายุจะอยู่ที่ใต้กล่อง
 

เราสามารถเปลี่ยนเวลาฉีดยาได้หรือไม่


สามารถทำได้ เพราะยาจะอยู่ในร่างกายแมวเกิน 24 ชม. แต่พยายามควบคุมให้อยู่ภายใน + - 2ชม. จากเวลาที่ฉีดปกติ
 

หากยาหมดและลืมสั่งควรทำอย่างไร


แบ่งได้เป็น 2 กรณีดังนี้

  • ยังพอเหลือยาอยู่เล็กน้อย ให้แบ่งให้พอฉีดทุกวันจนกว่าจะได้รับยาใหม่ แล้วรีบสั่งยาใหม่

  • หากไม่เหลือยาเลย ควรรีบสั่งยาใหม่ หลังจากกลับมาฉีดต่อให้ทำการนับวันต่อ ไม่จำเป็นต้องเริ่มนับ 1 ใหม่

สามารถเปลี่ยนความเข้มข้นยาระหว่างการรักษาได้หรือไม่


สามารถทำได้ แต่จำเป็นต้องคำนวณปริมาณยาใหม่ตามน้ำหนักเพื่อความต่อเนื่อง สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อให้คำนวณให้ได้

สามารถทำการเปลี่ยนยี่ห้อยา GS-441524 ได้หรือไม่


สามารถทำได้ เพราะยา GS-441524 มีเป้าหมายเดียวกันและมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่จำเป็นต้องคำนวณปริมาณยาให้ดีเนื่องจากยาแต่ละยี่ห้อมีความเข้มข้นไม่เท่ากัน นอกจากนี้ต้องดูเรื่องการรับประกันสำหรับอาการกำเริบเพราะแต่ละยี่ห้อจะมีการรับประกันไม่เหมือนกัน
 

สามารถหยุดฉีดยาก่อนครบ 84 วันได้หรือไม่


แน่นอนว่าการฉีดยาให้ครบ 84 วันนั้นดีที่สุดเพราะจะลดโอกาสที่แมวจะมีอาการกำเริบได้มากที่สุด แต่ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน เราเข้าใจว่าเจ้าของแมวอยากจบการรักษาให้เร็วที่สุดเพื่อลดค่าใช้จ่าย ซึ่งการหยุดฉีดยาก่อนครบ 84 วันสามารถทำได้ แต่จำเป็นจะต้องมีค่าเลือดอยู่ในค่าปกติ และมีค่า A:G Ration=0.7 ในการตรวจเลือด 2 ครั้งติด พร้อมทั้งทำการตรวจ PCR จากเลือดเพื่อยืนยันว่าในเลือดไม่มี FCoV แล้ว

สามารถหยุดฉีดยาเกิน 84 วันได้หรือไม่ หากยังมียาเหลือ
สามารถทำได้ขึ้นอยู่กับอาการของน้องแมวที่ได้รับการรักษา

bottom of page