top of page

A/G Ratio คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญในการวินิจฉัยโรค FIP ในแมว

FIP (Feline Infectious Peritonitis) หรือโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบติดต่อในแมว ซึ่งเป็นโรคที่ซับซ้อนและมักเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ การวินิจฉัยอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายเนื่องจากอาการมีความคลายกับโรคอื่นๆ ซึ่งอัตราส่วนอัลบูมินต่อโกลบูลินหรือค่า A/G ratio มีความสำคัญในการช่วยวินิจฉัยโรค FIP เรามาดูกันว่าค่านี้คืออะไรและทำไมจึงมีความสำคัญในการวินิจฉัยโรค

A/G Ratio คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญในการวินิจฉัยโรค FIP ในแมว

A/G Ratio คืออะไร?

ค่า A/G คือ ค่าความสมดุลของโปรตีน 2 ชนิดในเลือด ระหว่าง Albumin และ Globulin เพื่อใช้ดูสุขภาพโดยรวมของน้องแมว
  • อัลบูมิน(Albumin): โปรตีนนี้ช่วยรักษาสมดุลของเหลวในร่างกายและลำเลียงสารต่างๆ

  • โกลบูลิน(Globulin): กลุ่มโปรตีนที่มีความหลากหลายนี้มีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

ค่า A/G ratio คำนวณโดยการหารระดับอัลบูมินด้วยระดับโกลบูลิน อัตราส่วน A/G ปกติในแมวโดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 0.6 ถึง 1.2
 

ทำไม A/G Ratio ถึงสำคัญในการวินิจฉัย FIP?

โรค FIP ทำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในการผลิตโปรตีน ทำให้ระดับอัลบูมินลดลงและโกลบูลินเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่า A/G ratio ต่ำลง

การอักเสบในร่างกายคือ มื่อร่างกายได้รับเชื้อโรคหรือได้รับการบาดเจ็บ ร่างกายจะส่งสัญญาณและการป้องกันไปยังบริเวณที่ได้รับผลกระทบ การส่งสัญญาณและการป้องกันนี่หละคือการอักเสบของร่างกาย

  • ค่า A/G ratio ต่ำ (<0.6) เป็นผลการตรวจที่พบได้บ่อยในแมวที่เป็น FIP อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าโรคอื่นๆ ก็สามารถทำให้ค่า A/G ratio ต่ำได้เช่นกัน เช่น

    • ขาดน้ำ (Dehydration)

    • เป็นโรคตับ (Liver Disease)

    • เป็นโรคไต (Kidney Disease)

    • สูญเสียโปรตีนที่ระบบทางเดินอาหาร (PLE Protein-Losing Enteropathies)

  • ค่า A/G ratio สูง (>0.6) ทำให้โอกาสในการเป็น FIP น้อยลง แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีโอกาสเป็น

ต้องเข้าใจว่าแต่ละโรคก็จะมีระยะของโรค ดังนั้น ถ้าเป็นระยะแรกหรือเริ่มต้นค่า A/G อาจจะยังปกติอยู่

 

การใช้ A/G Ratio ในการวินิจฉัยโรค FIP

ปัจจุบัน A/G Ratio มีส่วนสำคัญในการวินิจฉัยโรค FIP มาก เนื่องจากใช้เวลาไม่นานและผลสุขภาพของน้องแมวไปด้วย

หากน้องแมวมีค่า A/G น้อยกว่า 0.6 หมายความว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็นโรค FIP ให้พิจารณาอาการอื่นๆ ร่วมด้วย

นอกเหนือจากนี้ยังมีวิธีอื่นๆ ในการตรวจวินิจฉัยโรค FIP ดังนี้

  • การตรวจนับเม็ดเลือด (CBC: Complete Blood Count) *สามารถตรวจ A/G ได้จากการตรวจ CBC

  • การวิเคราะห์ของเหลว(Rivalta Test) *กรณีที่เป็น FIP แบบเปียก

  • การทดสอบ FIP เฉพาะ (เช่น การทดสอบ Rivalta หรือ PCR)

 

ทำไมสัตวแพทย์จึงใช้ A/G Ratio

การเจาะตรวจเลือดสามารถระบุให้เครื่องแยกค่า A/G ออกมาพร้อมกับผลตรวจเลือดได้เลย และคลินิกส่วนใหญ่มีเครื่องตรวจวิเคราะห์เลือดอยู่แล้วทำให้ได้ผลที่รวดเร็ว และมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูง ช่วยมีสัตวแพทย์มีข้อมูลในการวินิจฉัยมากขึ้น เพื่อกำหนดแนวทางการรักษาต่อไป

  • ช่วยเประเมินความเป็นไปได้ของโรค FIP: ค่า A/G ratio น้อยกว่า 0.6 รวมกับข้อมูลอื่นๆ เช่นผลเลือด อาการที่แสดงออก

  • ช่วยในการติดตามความคืบหน้าของการรักษา: เมื่อแมวตอบสนองต่อการรักษา FIP ค่า A/G ratio ของพวกเขาควรจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น

โปรดจำไว้ว่า: ค่า A/G ratio เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวินิจฉัย ไม่ใช่หน่วยที่ฟันธงได้ว่าเป็น FIP อย่างแน่นอน ซึ่งต้องใช้ร่วมกับการวินิจฉัยอื่นๆ ให้เราสามารถวินิจฉัยได้อย่างแม่นยำและแนะนำแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับน้องแมวที่คุณรัก

หากคุณมีข้อกังวลเกี่ยวกับ FIP หรือสุขภาพของแมว ปรึกษาเจ้าหน้าที่ของเราได้ทุกช่องทาง

หรือศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาโรค FIP





 
bottom of page